เคล็ดลับล้างรถหน้าฝน เพื่อถนอมสีรถ ให้คงอยู่สดใสยาวนาน
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าไม่ควรล้างรถ เพราะเดี๋ยวฝนตกรถก็กลับมาเปื้อนอีกเหมือนเดิม ซึ่งความคิดนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะการล้างรถในฤดูฝนเป็นการดูแลรถที่สำคัญไม่แพ้ฤดูอื่นเลย ซึ่งเหตุผลที่ควรล้างรถในฤดูฝนก็มี ดังนี้
- เมื่อขับรถในฤดูฝนจะมีเม็ดฝนเกาะติดมากับรถ เมื่อเม็ดฝนนี้ระเหยแห้งไป จะทำให้เกิดเป็นคราบน้ำที่ผิวรถ และคราบน้ำนี้จะยิ่งติดแน่น หากเม็ดฝนระเหยแห้งภายใต้แสงแดด ย่อมส่งผลให้การทำความสะอาดคราบน้ำออกจากผิวรถทำได้ยากยิ่งขึ้น
- นอกจากเม็ดฝนจะทำให้เกิดคราบน้ำแล้ว สิ่งสกปรกที่มากับเม็ดฝน เช่น เศษฝุ่น เศษดิน และเศษใบไม้กิ่งไม้ เมื่อแห้งติดผิวรถก็ก่อให้เกิดคราบสกปรกที่ผิวรถได้เช่นเดียวกัน
- การใช้รถขณะฝนตกก็จะทำให้รถได้รับความชื้น เพิ่มความเสี่ยงที่รถจะเกิดสนิมมากขึ้น
- หากอาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม ซึ่งมีโอกาสเกิดฝนกรดมากกว่าพื้นที่อื่น ทำให้ผิวรถมีความเสี่ยงที่จะเสียหายจากฝนกรดเพิ่มมากขึ้นด้วย
หากปล่อยปละละเลยให้รถสกปรกในหน้าฝนจะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ผิวรถจนอาจเกิดความเสียหาย และเพิ่มความเสี่ยงที่รถจะเกิดสนิม นอกจากนี้ ยิ่งรถสกปรกมากก็ยิ่งมีภาระค่าใช้จ่ายในการล้างรถมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรปล่อยปละละเลยการล้างรถในหน้าฝนอย่างเด็ดขาด
วิธีดูแลรักษารถในหน้าฝน
- ควรล้างรถอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่รถโดนฝนมา เพื่อป้องกันการเกิดคราบน้ำและสิ่งสกปรกฝังแน่นที่ผิวรถ แต่ถ้าไม่สามารถล้างรถได้ อย่างน้อยควรจะฉีดน้ำล้างน้ำฝนและสิ่งสกปรกออกไปก่อนที่จะแห้งติดผิวรถ
- หลังจากที่รถโดนฝนมา ควรจอดรถในที่ร่ม ไม่ควรจอดรถตากแดด เนื่องจากแดดจะทำให้น้ำฝนระเหยแห้งเกิดเป็นคราบน้ำฝังแน่นที่ผิวรถ ซึ่งจะยากต่อการล้างทำความสะอาดด้วยตนเอง จนอาจจะต้องนำรถล้างทำความสะอาดที่ร้าน
- ไม่ควรนำผ้าแห้งเช็ดรถที่โดนฝนมา เพราะสิ่งสกปรกที่ติดมากับฝน เช่น เศษดิน ทราย เศษไม้ ฯลฯ อาจทำให้ผิวรถเกิดเป็นรอยได้ ดังนั้น ควรล้างทำความสะอาดรถ หรือฉีดน้ำล้างน้ำฝนออกก่อนที่จะเช็ดด้วยผ้าแห้ง
- ไม่ควรทิ้งรถไว้นานจึงทำความสะอาด หลังจากที่รถโดนฝนมา ไม่ควรทิ้งรถไว้เป็นเวลานานจึงล้างทำความสะอาดเพราะอาจมีน้ำฝนที่ตกค้างอยู่ตามซอกรถ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดเป็นสนิมได้
- ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ในฤดูฝน เพราะอาจจะมีลมแรง จนทำให้ต้นไม้หักโค่นลงมาโดนรถจนเสียหายได้
- หากเป็นไปได้ควรจะทำการเคลือบสีรถด้วย เพราะนอกจากจะทำให้รถสวยงามขึ้นแล้ว การเคลือบสียังช่วยป้องกันคราบน้ำเกาะตามผิวรถ และยังช่วยให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วย
- รีบนำรถเข้าศูนย์หรือทำสี หากผิวรถมีปัญหา หากผิวรถมีรอยถลอกที่เปิดจนเห็นหน้าเหล็กด้านใน ควรรีบนำรถเข้าศูนย์เพื่อซ่อมแซมหรือทำสีใหม่ เพราะคราบน้ำฝนสามารถติดตามรอยเหล่านี้ หากใช้ไปนานๆ อาจจะทำให้สีบริเวณนั้นปูดและลอกออกเป็นแผ่นๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสนิมได้
FLOW Energy จำหน่ายเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ใช้ล้างรถได้ดีมาก
สิ่งที่ห้ามทำหลังฝนตก
- ไม่ล้างรถเลย เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ผิวรถ ทำให้ล้างออกยาก โดยเฉพาะคราบมูลนกที่ทำให้เกิดรอยด่างที่ผิวตัวรถนั่นเอง
- ทิ้งรถไว้เป็นเวลานานจึงล้างทำความละอาด นอกจากจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ผิวรถซึ่งล้างออกยากแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้รถเกิดสนิมอีกด้วย
- เช็ดรถด้วยผ้าแห้งขณะที่รถเปียกฝน เพราะคราบสกปรกที่ติดมากับน้ำฝน อาจจะทำให้ผิวรถเป็นรอยได้
- จอดรถที่เปียกฝนกลางแดด เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนและสิ่งสกปรกติดแน่นอยู่ที่ผิวรถ ทำให้ล้างออกยาก
เคล็ดลับในการล้างรถหน้าฝน
1. ควรล้างรถทุก 7-10 วัน
ในสภาพอากาศที่เปียกชื้น ควรล้างรถทุก 7-10 วัน ด้วยน้ำยาล้างรถที่มีคุณภาพหรืออย่างน้อยที่สุดควรใช้บริการล้างรถอัตโนมัติสัปดาห์ละครั้ง เนื่องจากน้ำฝนมีความเป็นกรด อาจส่งผลต่อสีรถและชิ้นส่วนรถยนต์จนกระทั่งเกิดสนิม ซึ่งจริงๆ แล้ว ฤดูฝนอาจต้องล้างรถบ่อยขึ้นเพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
2. เน้นที่ล้อรถ
ไม่ว่าจะเลือกวิธีการล้างรถด้วยตัวเองหรือใช้บริการผ่านการล้างรถตามร้านทั่วไป สิ่งสำคัญคือ ต้องมุ่งเน้นไปที่ล้อรถ ซึ่งการล้างรถที่ร้านล้างรถ เขาจะขจัดสิ่งสกปรกและเศษซากจากฐานล้อของรถและส่วนล่างให้อยู่แล้ว แต่การล้างด้วยตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกัน
3. อย่าลืมขัดและเคลือบสีรถ (Wax)
การขัดและเคลือบสีรถ (Wax) โดยทั่วไป ต้องแว็กซ์รถอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะช่วงจุดเริ่มต้นของแต่ละฤดูกาล และการผลิตภัณฑ์แว็กซ์จะต้องเลือกชนิดที่สามารถใช้ได้ตลอดทั้งฤดูกาล ซึ่งอาจจะต้องยอมจ่ายแพงบ้างเพื่อประสิทธิภาพในการดูแลรักษาสีรถให้สวยสดอยู่เสมอ แต่การเลือกซื้อแว็กซ์ที่ถูกกว่าอาจทำให้เสียเวลาและเสียเงินในการทำซ้ำ อีกทั้งการแว๊กซ์รถควรมุ่งเน้นโดยเฉพาะหลังคา กระโปรงและลำตัวของรถ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสียูวีนั่นเอง
เมื่อฝนตกลงมามักจะพ่วงเอาสารพิษและสิ่งปนเปื้อนจากอากาศ ตลอดจนฝนกรดลงมากระทบผิวรถด้วยเสมอ ซึ่งฝนกรดอาจทำให้สีรถมีอายุการใช้งานสั้นลง และตัวรถก็มีโอกาสเกิดสนิมมากขึ้น ดังนั้นจึงควรล้างรถไม่เกิน 10 วัน ซึ่งในความเป็นจริงการล้างรถเป็นวิธีที่ดีในการปกป้องรถจากสนิม และควรล้างด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการล้างรถโดยใช้น้ำยาที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะการใช้น้ำยาล้างรถที่มีคุณภาพ ย่อมทำให้รถมีสีสวยงามและพร้อมใช้งานตลอดฤดูฝนได้อย่างไม่ต้องกังวล